พระพุทธรูปทรงเครื่องจักรพรรดิ(ปางปราบพญาชมพูบดี)

ความน่ารักของลูกหลานในยามปฏิบัติธรรม

วิธีประหยัดน้ำ-ไฟ

๑๑ วิธีใช้น้ำอย่างประหยัด
๑. ใช้ผงซักฟอกหรือน้ำยาล้างจานที่ไม่มีสารที่ทำลายสภาพน้ำเจือปนอยู่ โดยใช้ผงซักฟอกที่ผสมZeolite ที่มีส่วนในการดูแลรักษาน้ำ
๒. การซักผ้าด้วยมือควรปิดก๊อกน้ำเมื่อน้ำเต็มภาชนะรองรับ
๓. การซีกผ้าด้วยเครื่องควรรวบรวมผ้าให้พอดีกับความสามารถของเครื่องซักผ้าในแต่ละครั้ง เพราะต้องใช้น้ำประมาณ ๑๐๐ - ๒๐๐ ลิตร และจะช่วยประหยัดไฟฟ้าไม่ให้สิ้นเปลืองมากจนเกินไป
๔. การใช้น้ำประปาควรหาภาชนะรองรับน้ำตามต้องการแล้วจึงนำไปใช้ ซึ่งจะง่ายและประหยัดกว่าเปิดจากก๊อกหรือสายยางโดยตรง และต้องปิดก๊อกน้ำให้สนิทหลังการใช้น้ำประปาทุกครั้ง
๕. ตรวจและซ่อมแซม ท่อ/ก๊อกน้ำที่ชำรุดอยู่เสมอ เพราะน้ำ ๑๐ หยดใน ๑ นาที จะรวมเป็น ๓,๐๐๐ ลิตรใน ๑ ปี
๖. การล้างจาน ชาม และภาชนะ ควรรวบรวมให้มีปริมาณมากพอแล้วจึงล้างพร้อมกันในอ่าง ไม่ควรล้างโดยตรงจากก๊อก
๗. ควรอาบน้ำด้วยการตักกจากภาชนะเก็บน้ำ แทนการอาบจากฝักบัว ซึ่งต้องใช้น้ำครั้งละ ๒๐ ลิตร/คน และไม่นอนแช่ในอ่างอาบน้ำ
๘. แปรงฟันหรือโกนหนวดด้วยการใช้แก้ว หรือขันรองน้ำ แทนการเปิดน้ำโดยตรงจากก๊อกซึ่งทำให้เสียน้ำเปล่าประโยชน์ถึง ๙ ลิตร/นาที
๙. การใช้ห้องสุขาด้วยการกดชักโครกเพียงครั้งเดียวจะทำให้เปลืองน้ำมากถึง ๑๕ - ๒๐ ลิตร จึงควรใช้ระบบขันตักราดหรือใช้อิฐมอญ ๒ - ๓ ก้อน หรือขวดพลาสติกใส่น้ำใส่ไว้ในชักโครกเพื่อแทนที่น้ำ
๑๐.หากบ้านเรือนของท่านตั้งอยู่ริมแม่น้ำ ควรสร้างส้วมให้ถูกสุขลักษณะ ไม่ทิ้งของเสียลงในน้ำเพราะจะเป็นที่มาของเชื้อโรค และทำให้น้ำเน่าเสีย ขยะมูลฝอยต่างๆ ควรเก็บใส่ถังขยะ แยกขยะเปียกจำพวกเศษอาหาร และขยะแห้งจำพวกเศษกระดาษถุงพลาสติกออกจากกัน โดยแยกภาชนะให้ชัดเจนเพื่อสะดวกต่อการเก็บขนและแยกกำจัด
๑๑.ซ่อมแซมสิ่งของหรือเสื้อผ้าสมาชิกภายในบ้านเมื่อเกิดการชำรุดขึ้นมา แทนที่จะโยนทิ้งน้ำหรือไปซื้อใหม่ เพื่อช่วยประหยัดทรัพยากรที่นำมาเป็นวัตถุดิบ
สารพัดวิธีประหยัดไฟฟ้า
๑. ป้องกันอากาศร้อนภายในบ้านด้วยวิธีง่ายๆ เป็นธรรมชาติ เช่น ปลูกต้นไม้บังแสงแดด ทำม่านกันแสงและสร้างหน้าต่างกันทิศทางลมเพื่อลดการติดตั้งเครื่องปรับอากาศ
๒. ถ้าจะเปลี่ยนหลอดไฟใหม่ ควรเลือกใช้หลอดประหยัดไฟ จะประหยัดถึงร้อยละ ๗๕ - ๘๐ และอายุใช้งานก็นานกว่าถึง ๗ เท่า
๓. ต้องหมั่นดูแลและทำความสะอาดหลอดไฟ ถ้าปล่อยให้ฝุ่นหนาแสงก็น้อยลงทำให้ต้องเปิดหลอดไฟมากขึ้น
๔. โทรทัศน์ทั้งขนาดและระบบมีผลต่อการใช้ไฟ เช่น ระบบรีโมทคอลโทรลจะเปลืองไฟตลอดเวลา แม้ขณะที่ไม่ได้ใช้รีโมท
๕. เลือกใช้เครื่องปรับอากาศรุ่นประหยัดพลังงาน และมีประสิทธิภาพที่เหมาะสมกับจำนวนคนและเนื้อที่
และปรับอุณหภูมิให้พอดี ควรอยู่ที่ ๒๕ องศาเซลเซียส
๖. ไม่ควรทำอาหารและต้มน้ำในห้องแอร์ เพราะจะทำให้เครื่องปรับอากาศทำงานมากขึ้น
๗. ขยันทำความสะอาดไส้กรองอากาศสัปดาห์ละครั้ง จะช่วยให้ประหยัดไฟและให้ความเย็นเร็วขึ้น
๘. เลือกใช้ตู้เย็นที่มีขนาดพอเหมาะ ระวังไว้สักนิดว่าตู้เย็นที่มีระบบละลายน้ำแข็งอัตโนมัติจะกินไฟเพิ่มกว่าธรรมดา และเลือกซื้อตู้เย็นที่มีฉนวนกันความร้อนหนาเพื่อป้องกันการถ่ายเทความร้อนได้ดีกว่า
๙. ตั้งตู้เย็นห่างผนังอย่างน้อย ๑๕ ซม.เพื่อช่วยระบายความร้อน
๑๐.ไม่นำของร้อนแช่ในตู้เย็น
๑๑.ถอดปลั๊กอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกครั้งเมื่อเลิกใช้
๑๒.ประหยัดพลังงานในครัวด้วยการหุงต้มด้วยก๊าชจะดีกว่าการใช้เตาไฟฟ้าที่ใช้พลังงานถึง ๓ เท่าของก๊าช
๑๓.ควรรีดผ้าครั้งละมากๆ เพราะในการที่เตารีดร้อนแต่ละครั้งต้องใช้พลังงานมาก
๑๔.เปิดโทรทัศน์หรือวิทยุเฉพาะเวลาที่ต้องการเท่านั้น ไม่เปิดทิ้งไว้
ข้อมูลจาก ศูนย์วิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ประยุกต์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี่ มหาวิทยาลัยราชภัฏ จอมบึง

มะนาวช่วยเลิกบุหรี่

ผลวิจัยชี้ มะนาว ช่วยเลิกบุหรี่ในสองสัปดาห์
ผศ.กรองจิต วาทีสาธกกิจ ที่ปรึกษามูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวในการประชุมวิชาการ "บุหรี่กับสุขภาพแห่งชาติ" ครั้งที่ 7 เรื่อง "เยาวชนรุ่นใหม่ ร่วมใจ ต้านภัยบุหรี่" ว่า จากผลวิจัยพบว่า วิตามินซีมีสารที่ช่วยลดความอยากนิโคตินได้ และช่วยฟื้นฟูร่างกายที่ทรุดโทรมให้สดชื่นกระปรี้กระเปร่า จึงมีการนำใช้เพื่อช่วยเลิกบุหรี่ โดยเทคนิคการรับประทานผลไม้รสเปรี้ยวที่มีวิตามินซีสูง โดยเฉพาะมะนาว พบว่าเมื่อนำไปใช้แล้วมีประสิทธิภาพได้ผลดีมาก เนื่องจากมะนาวมีผลต่อการทำงานของต่อมรับรสขม ทำให้รสชาติของบุหรี่เปลี่ยนไป ผศ.กรองจิต กล่าวอีกว่า วิธีการกินมะนาวช่วยเลิกบุหรี่ ต้องหันมะนาวเป็นชิ้นเล็กๆ ให้มีเปลือกติดมาด้วย ขนาดเท่าหัวแม่โป้ง หรือพอคำ เมื่อมีความรู้สึกอยากสูบบุหรี่ให้กินมะนาวแทน โดยอมแล้วค่อยดูดความเปรี้ยว จากนั้นเคี้ยวเปลือกอย่างช้าๆ นาน 3-5 นาที จะมีผลทำให้ลิ้นข่ม เฝื่อน จากนั้นดื่มน้ำ 1 อึก นอกจากช่วยลดความอยากนิโคตินแล้ว เมื่อสูบบุหรี่จะทำให้รสชาติบุหรี่เปลี่ยนเป็นขมจนไม่อยากสูบ และสามารถกินมะนาว หรือผลไม้ชนิดอื่นที่มีความเปรี้ยวมากๆ ได้ทุกครั้งที่เกิดความอยากบุหรี่ แต่เมื่อเทียบกัน พบว่ามะนาวจะได้ผลดีที่สุด ซึ่งการเลิกบุหรี่ด้วยการกินมะนาวส่วนใหญ่จะเลิกบุหรี่ได้ใน 2 สัปดาห์ และไม่อยากบุหรี่อีก ถือว่าชนะนิโคตินได้ แต่แม้อาการทางกาย คือความอยากจะหมดไป แต่อาการทางใจบางครั้งยังมีอยู่ เช่น เศร้า หงุดหงิดเหมือนคนอกหัก คนรอบข้างต้องให้กำลังใจ และตั้งใจเลิกอย่างเด็ดขาด จะสามารถเลิกได้อย่างแน่นอน

ข้อมูลจาก http://www.bangkokbiznews.com/2008/08/17/news_286122.php

คุณสมบัติผู้นำ

คุณสมบัติผู้นำที่ดีมี 10 อย่าง คือ
1. หูหนัก (ไม่เชื่อใครง่าย)
2. ปรับยอด (เน้นระเบียบวินัย)
3. ปลอดผิด (ไม่ทำผิดระเบียบ)
4. คิดเป็น (คิดดี คิดชอบ)
5. เห็นไกล (มีวิสัยทักศน์)
6. ใช้ธรรมะ (ใช้หลักธรรมในการปกครอง)
7. นำตรง (พาหมู่คณะไปสู่ทิศทางความเจริญ)
8. คงงาน (แนะนำงาน กำกับดูแล)
9. หาญใหญ่ (ใจกล้า เผื่อแผ่)
10. ใจถึง (กล้าคิด กล้าตัดสินใจ ปกป้องลูกน้อง กล้ามอบหมาย กล้ารับผิด)

คุณสมบัติผู้นำที่ด้อย มี 10 อย่าง คือ
1. หูเบา (เชื่อคนง่าย ขาดความยุติธรรม)
2. เข้าข้าง (ลำเอียงไปที่ตัวเองและพวกพ้อง)
3. วางโต (อวดรู้ อวดเก่ง เบ่งกล้าม ข่มขู่)
4. โง่งม (ไม่ยอมรับว่าตนเองผิด หลงตัวเอง หลงทาง ไม่ยอมปรับเปลี่ยน)
5. ซ่อนงาน (ไม่ยอมสานต่องานจากคนอื่น ทำให้งานไม่ต่อเนื่องหยุดชะงัก)
6. ผลาญเงิน (ไม่รู้จักการประหยัด ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่าย)
7. เดินผิด (ยิ่งเดิน ยิ่งไกล ยิ่งเข้าใกล้ ยิ่งห่างหาย คนเตือนก็ไม่รับฟัง)
8. จิตฟุ้ง (ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ หวั่นไหวตามสถานการณ์)

9
. มุ่งได้ (เอาแต่ประโยชน์ ไม่ยอมเสียสละ)

10
. ขายเพื่อน (เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น)

ที่มา http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=950.msg6947

รวมเรื่องจริงที่คุณโดนหลอกบ่อยๆ

Myth : หลังจากเสียชีวิต ผมและเล็บของมนุษย์ยังสามารถยาวและงอกต่อได้ เนื่องมาจากสารเคมีในร่างกายตามธรรมชาติ
Fact : ไม่เป็นความจริง เพราะเมื่อเสียชีวิต อวัยวะทุกอย่างจะหยุดทำงานอย่างถาวร แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อมูลที่ทำให้เข้าใจผิดเสียทีเดียว เพราะเมื่อเราเสียชีวิตผิวหนังบริเวณเล็บและหนังศีรษะที่เป็นเนื้อเยื่ออ่อนจะหดลงตามธรรมชาติ (เช่นเดียวกับเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อ) ทำให้ดูเหมือนว่าผมและเล็บยาวขึ้นได้เอง

Myth : อ่านหนังสือในที่สลัว หรือใช้ไฟฉายส่องจะทำให้สายตาเสีย-ต้องใส่แว่น
Fact : นับว่าเป็นหนึ่งในคำขู่สุดฮิตของบรรดาคุณพ่อและคุณแม่ การที่อ่านหนังสือในที่มีแสงสว่างน้อย หรือใช้ไฟฉายส่องไม่มีผลทำให้สายตาเสียขนาดต้องใส่แว่น อย่างไรก็ตามการอ่านหนังสือในที่ที่แสงสว่างส่องไม่เพียงพอ หรือแสงที่ส่องไม่มีคุณภาพ เช่น แสงจากหลอดไส้ แสงไฟฟลูออเรสเซนท์ที่มีสีแสบตา การอ่านหนังสือในสภาวะเช่นนี้ส่งผลทำให้ตาต้องปรับโฟกัสมากกว่าปกติ ทำให้เกิดอาการตาแห้ง เมื่อยล้าได้ง่าย เนื่องจากต้องใช้การเพ่งมากกว่าปกติ ทำให้กล้ามเนื้อตาทำงานหนัก

Myth : เผลอกลืนหมากฝรั่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
Fact : เป็นคำขู่ของผู้ใหญ่อีกเช่นกัน แต่ก็ทำให้เด็กระมัดระวังในการเคี้ยวหมากฝรั่งได้ผลดีนัก ในความเป็นจริงแล้ว การเผลอกลืนหมากฝรั่งไม่ได้มีอันตรายถึงชีวิต ไม่ถึงขนาดต้องไปพึ่งแพทย์ให้ผ่าตัดเอาก้อนหมากฝรั่งออก เพราะระบบย่อยอาหารของคนเราสามารถย่อยหมากฝรั่งได้เหมือนกับอาหารชนิดอื่นๆ แต่ระบบย่อยอาหารอาจจะต้องทำงานหนักมากกว่าปกติสักหน่อย เนื่องจากส่วนผสมหนึ่งของหมากฝรั่งคือยาง แต่ก็สามารถย่อยหมดภายในเวลา 24 ชั่วโมง จากนั้นขับออกมาทางอุจจาระตามปกติ

Myth : การดึงหรือหักนิ้วมากๆ จะทำให้เป็นโรคข้ออักเสบ หรือข้อเสื่อมได้ง่าย
Fact : โรคข้ออักเสบ หรือข้อเสื่อมมีปัจจัยมาจากหลายสาเหตุ เช่น พันธุกรรม อายุ น้ำหนัก อาการบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา หรือการติดเชื้อบริเวณข้อ เป็นต้น การดึงหรือหักนิ้วจนทำให้เกิดเสียงดังกร๊อบแกร๊บ เป็นการบิดและดึงจนทำให้น้ำหล่อเลี้ยงภายในข้อที่ป้องกันการเสียดสีระหว่างกระดูก เกิดแรงดันกลายเป็นฟองอากาศจนเกิดเสียงขึ้น การดึงแบบนี้ไม่ส่งผลใดๆ ต่อข้ออย่างที่เข้าใจกัน แต่การดึงหรือหักข้อนิ้วเป็นประจำจะทำให้เอ็นรอบๆ ข้อสูญเสียความแข็งแรงและความยืดหยุ่น

Myth : กินไอศกรีมโยเกิร์ตลดความอ้วน แถมดีต่อร่างกาย
Fact : สิ่งที่เหมือนกันระหว่างโยเกิร์ตและไอศกรีมโยเกิร์ตคือ สีขาวของโยเกิร์ต การเลือกรับประทานไอศกรีมที่ทำมาจากโยเกิร์ตย่อมดีกว่าไอศกรีมทั่วไปในเรื่องของปริมาณพลังงานและไขมัน ทั้งนี้หากพิจารณาคุณประโยชน์ที่ได้จากการรับประทานไอศกรีมโยเกิร์ตก็คงจะดีไม่เท่ากับการรับประทานโยเกิร์ต เนื่องจากไอศกรีมที่ทำมาจากโยเกิร์ตต้องผ่านกระบวนการผลิตและปั่นหลายขั้นตอน ทำให้จุลินทรีย์ชนิดดีต่อสุขภาพนั้นสูญสลายไปหมด ถ้าอยากลดความอ้วนหันมารับประทานผลไม้สดแช่เย็นก็อร่อยไม่แพ้กันค่ะ แถมยังดีต่อสุขภาพอีกด้วย credit : Healthtoday.net
http://www.watthummuangna.com/board/showthread.php?p=110880#post110880
สุขภาพจิตดี ไม่มี "แก่เร็ว"

แม้กาลเวลาจะผ่านไปไวเพียงใด ก็ยังพอมีกำลังใจยอมรับ แต่ที่ผ่านไปแล้วหอบเอาสังขารให้แก่ชราเกินกว่าเป็นจริงนี่ซิ ยากที่จะทำใจยอมรับ โดยเฉพาะสำหรับคุณผู้หญิงผู้รักสวยรักงาม แต่เมื่อกฏแห่งธรรมชาติเป็นเช่นนั้นก็คงต้องหันมาใช้วิธี "ชะลอ" ความเป็นไปกันบ้าง จะได้ไม่ต้องทำใจกันมากเกินไปนัก
เริ่มต้นด้วยเรื่องของ อาหารการกิน ที่นอกจากยังคงรับประทานให้ครบถ้วนทุกหมวดหมู่แล้ว ก็ต้องเพิ่มความใส่ใจในรายละเอียดของอาหารมากขึ้นสักหน่อย อาหารที่ย่อยยาก โคเลสเตอรอลสูง ควรห่าง ๆ ไว้หน่อย อย่างไข่แดงก็ทานเพียงเล็กน้อย เนื้อสัตว์ก็ต้มให้เปื่อย ๆ จะได้ย่อยง่ายขึ้น ผัก ผลไม้ก็ควรรับประทานทุกวัน เลือกที่มีวิตามินซีหรือเอเยอะ ๆ
การออกกำลังกาย ก็เป็นสิ่งสำคัญ ใครชอบกีฬา หรือกิจกรรมแบบใดก็เลือกกันไปเพื่อไม่ให้เกิดความเบื่อหน่าย แต่อย่าลืมว่าทุกครั้งที่ออกกำลังกายควรเริ่มด้วยการอบอุ่นร่างกาย (Warm Up) คือเริ่มบริหารเบา ๆ ก่อนสัก 5 นาที และเมื่อเสร็จจากการออกกำลังกาย ก็ต้องค่อย ๆ ลดความเหนื่อยอย่างช้า ๆ (Warm Down) เพื่อให้ร่างกายปรับเข้าสู่ภาวะปกติ และควรทำทุกวันวันละประมาณ 30 นาที
อีกสิ่งที่สำคัญไม่แพ้สุขภาพร่างกาย คือ สุขภาพใจ หรือสุขภาพจิต ซึ่งเทคนิคที่จะทำให้สุขภาพจิตดีนั้นก็มีมากมายหลายรูปแบบ และเป็นสิ่งที่เรียกว่า "เทคนิคเฉพาะตัว" จริง ๆ เพราะเป็นเทคนิคที่แล้วแต่ว่าใครมีวิธีที่จะทำให้สุขภาพจิตของตัวเองดีได้อย่างไร เพราะเมื่อสุขภาพจิตดีแล้ว ความแก่ก็จะถามหาช้าลง
วิธีง่าย ๆ ที่ช่วยให้มีสุขภาพจิตดี (ที่หลายคนใช้ได้ผล)
- มองโลกในแง่ดีเสมอ มองในสิ่งดี ๆ ของคนอื่น ชีวิตจะได้สดใส ถูกใครเอาเปรียบ ถูกใครรังแก ก็คิดเสียว่าเป็นธรรมดาของสัตว์โลก พยายามมองทุกสิ่งในโลกว่าเป็นเรื่องปกติ ก็จะช่วยให้เราไม่ทุกข์ร้อนมากนัก
- หัวเราะบ่อย ๆ เป็นการช่วยให้อารมณ์ดี สดใส แต่หลายคนชอบคิดว่าการหัวเราะทำให้เกิดรอยย่นบนใบหน้า จะยิ้มเต็ม ๆ กว้าง ๆ สักทีก็ไม่กล้า กลัวว่าหน้าจะเป็นรอยทั้งที่จริง ๆ การหัวเราะนั่นแหละ เป็นการบริหารกล้ามเนื้อบนใบหน้าที่ดีวิธีหนึ่ง
- อย่าเป็นคนคิดมากเกินเหตุ คือ มีอะไรก็คิดมาไปเสียทุกเรื่อง แล้วก็หมกมุ่นคิดอยู่อย่างนั้น (แต่อันนี้มันคนละเรื่องกับการไม่คิดอะไรเลยนะ) ซึ่งเป็นการคิดที่ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย นอกจากเกิดความเครียดและความทุกข์
- อย่าตั้งความหวังสูงเกินไป แต่ไม่ใช่ไม่ตั้งความหวังนะ เพราะคนเราทุกคนย่อมต้องมีความหวัง มีเป้าหมายตามสภาพความเป็นไปได้ แต่ไม่ควรหวังสูงเกินไป จะทำให้สุขภาพจิตเสื่อมเสียเปล่า ๆ และก็ไม่ใช่ไม่ตั้งความหวังเลย อย่างนี้ชีวิตก็จะล่องลอยไร้เป้าหมาย ก็จะกลายเป็นทุกข์อีก
- การฝึกสมาธิ ทำใจให้ว่างเปล่า ก็เป็นการช่วยเสริมสุขภาพจิต และผ่อนคลายความตึงเครียดได้มาก เพราะการทำสมาธิจะช่วยทำให้จิตใจสงบและนิ่ง ซึ่งเราสามารถทำสมาธิตอนไหนก็ได้ ไม่ว่าจะตอนนั่งรถ พักกลางวัน หลังเลิกงาน หรือก่อนเข้านอน และควรพยายามทำให้ได้วันละ 10-30 นาที ก็ยังดี

ด้วยวิธีการเหล่านี้ คงช่วยให้ใครหลายคนรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่ผ่านมาพร้อมเวลาที่ผ่านไปได้อย่างไม่หนักใจนัก
ขอขอบคุณข้อมูลจาก...http://www.pop.co.th/

มือพาไป

กระผม วัชรพงศ์ สายทิพย์วดี ขอกราบสักการะบูชาพระคุณบิดามารดา ครูบาอาจารย์ ตลอดจนท่านผู้มีพระคุณทุกๆ ท่าน ผมตระหนักอยู่เสมอว่า "มนุษย์เรา ไม่ว่าจะยากดีมีจน สูงต่ำดำขาว ทุกคนล้วนหนีกรรมไม่พ้น" พระเดชพระคุณหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ท่านได้ประทานเมตตาแก่ผมอย่างมหาศาล (แม้ท่านจะละสังขารแล้วก็ตาม) ผมระลึกได้ด้วยสติปัญญาอันน้อยนิด ชีวิตผมผ่านพ้นอุปสรรคมาไม่ใช่น้อย ทั้งการรับราชการ ทั้งชีวิตส่วนตัว ทั้งส่วนครอบครัว ญาติพี่น้อง เพียงผมได้อ่านเว็บที่คณะลูกศิษย์หลวงปู่ได้ร่วมกันจัดทำเผยแพร่คำสอน ผมก็ได้รับสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิตเป็นลำดับ ที่เห็นชัดที่สุดก็คือ "สติในการควบคุมอารมณ์" ผมเชื่อว่า ชั่วชีวิตเรา นอกจากการได้พบพระแท้ นับถือท่านเป็นครูบาอาจารย์แล้ว ความเป็นมงคลที่สำคัญอีกประการก็คือ การปฏิบัติตามแนวทางที่ครูบาอาจารย์ท่านได้เมตตาสั่งสอนแนะนำ แต่ที่ยิ่งใหญ่ ใหญ่ยิ่งเหนือสิ่งอื่นใด ก็คือ พ่อ แม่ ของเราไงล่ะครับ พระพุทธองค์ท่านยังทรงยอมรับ ดังปรากฎ คำบาลีที่แปลได้ใจความว่า "มิดามารดาเป็นพรหมของบุตร" "วันนี้ท่านบอกรักพ่อแม่ของท่านหรือยัง"?
๒๙ ก.ค.๕๑,๑๑๕๙
วันนี้ผมเดินทางมาพบคุณหมอที่โรงพยาบาลโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า เรามีเวลาและโอกาสสำหรับการสนทนาธรรมมากพอสมควร แต่เด่ยวผมขอเวลาไปตรวจอัลต้ราซาวส์ตับก่อน แล้วค่อยมาพบกันครับ
๓๐ ก.ค.๕๑ ผมรับการตรวจอัลตร้าซาวด์เรียบร้อบแล้วเมื่อ ๒๙ ก.ค. เวลาประมาณ ๑๒๓๐ ผลการตรวจคุณหมอยืนยันว่าเป็นปกติดีทุกอย่าง แต่นั่นไม่ใช่เนื้อหาที่ผมอยากเล่าให้ฟังในวันนี้ เรื่องสำคัญในวันนี้ก็คือ เมื่อเวลาประมาณเที่ยงวันนี้ มีพนักงานราชการท่านหนึ่งมาบอกผมว่า เขาได้รับการแจ้งเตือนให้มาบอกผมว่าให้ผมกระทำสิ่งต่อไปนี้แล้วชีวิตจะดีขึ้น
๑. ถวายดาบ ๒ เล่ม ต่อเจ้าพ่อขุนด่าน
๒. ถวายดอกกุหลาบสีชมพู ๑๙ ดอก ที่ ศาลาวงกลม
ผมพยายามเร่งรัดภาระต่างๆ ทั้งงานนอกหน่วย ในหน่วย งานประชุม งานธุรการ และตั้งใจว่าจะดำเนินการถวายให้แล้วเสร็จภายในเย็นนี้ แล้วโอกาสต่อไปจะนำมาเล่าสู่กันฟังอีกครับ ....บ๊าย..บาย....
๓๑ ก.ค.๕๑ วันนี้ ผมเดินทางไป กทม.แต่เช้า ไปพบญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ท่านเคยช่วยเหลือผมมาหลายครั้ง ทั้งงานราชการ งานส่วนตัว ห่วงใยผมมาตลอด แต่ติดที่ว่าท่านเป็นคนดุ ผมเคยได้ยินมาว่า "เสือดุให้เข้าใกล้" นั่นเป็นอุบายธรรมที่ชาญฉลาดมากเช่นเรารู้ว่าผู้ใหญ่คนนั้นดุ เราหมั่นเข้าใกล้ สิ่งที่เราจะได้คือ
๑)ความกล้าหาญ
๒)ความคุ้นเคย
๓)ความรู้ ประสพการณ์
๔)ข้อแนะนำที่ดีมีประโยชน์
๕)แนวคิดสำหรับการปฏิบัติตัวของท่าน ตลอดจนผลที่ได้รับ
ผมรับราชการมากว่า ๒๔ ปี ผมเห็นผู้บังคับบัญชา เพื่อร่วมงาน และ ลูกน้องมาไม่ใช่น้อย สิ่งเหล่านี้ทำให้ผมได้เก็บเกี่ยวข้อมูลที่สำคัญที่สุดในการกดำเนินชีวิต นั่นคือ "ข้อมูลมนุษย์" แต่ตอนนี้ได้เวลาไปร่วมรับประทานอาหารกับผู้บังคับบัญชาแล้ว โอกาสหน้าค่อยมาโม้ต่อครับ สาธุ...
๑๒ ส.ค.๕๑
วันนี้ผมตื่นแต่เช้า ประมาณ ตีห้า เข้าห้องน้ำเรียบร้อย ตั้งใจจะออกไปวิ่ง แต่ฝนตกปรอยๆ แหมไอ้เรามันก็มีอายุแล้ว งานก็มาก ถ้าโดนฝนเดี๋ยวจะเป็นหวัด ก็จะยุ่งกันใหญ่ ก็เลยตัดสินใจดูโทรทัศน์รายงานธรรมะ ฟังหลวงปู่พุทธอิสระ จนจบรายการ ดูกีฬานิดหน่อย อาบน้ำ แต่งตัวหล่อ แล้วไปตลาด ซื้ออาหารเป็นข้าวเหนียวหมูย่างกับขนมปังทาเนยใส่บาตรพระ แต่ก็ไม่ลืมซื้อมาเพิ่มเติมให้คนในบ้านได้กิน(วันนี้จะไปสักการะกรมหลวงชุมพระเขตอุดมศักดิ์ที่สัตหีบ) โทรศัพท์ถึงแม่คุยกับท่านสักครู่ ทานก็อวยพรด้วยความเมตตา เชื่อไหมครับว่าทุกครั้งที่โทร.คุยกับแม่ เมื่อวางหูผมจะกราบโทรศัพท์ทุกครั้ง ขออนุญาตเตรียมตัวเดินทางครับ ก่อนไปมีสาระมาฝาก ลองอ่านกันดูครับ เป็นของเก่าที่ทันสมัยใหม่เสมอ
สิ่งที่ประกันไม่ได้ ๔ ประการ
พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า ภิกษุทั้งหลาย! สิ่ง ๔ ประการนี้ใคร ๆ จะประกัน มิได้เลยคือ
๑.ประกันสิ่งที่จะต้องแก่ หรือทรุดโทรมเป็นธรรมดามิให้แก่หรือทรุดโทรม
๒.ประกันสิ่งที่มีความเจ็บป่วยเป็นธรรมดา มิให้มีการเจ็บป่วย
๓.ประกันสิ่งที่มีความตายเป็นธรรมดามิให้ตาย
๔.ประกันกรรมชั่วที่บุคคลทำแล้วมิให้ให้ผลเป็นความทุกข์ ความทุรน ทุราย
(อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ๒๑/๒๓๒)